ปลาแฟนซีคาร์ฟ
เป็นปลาคาร์ปที่ถูกพัฒนาสายพันธุ์ขึ้นมาจากปลาคาร์ปธรรมดา ๆ ที่มีอยู่ในธรรมชาติหรือที่นำมารับประทานกันเป็นอาหาร เพื่อการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยเริ่มต้นขึ้นในราว ค.ศ. 200-ค.ศ. 300 โดยปลาคาร์ปต้นสายพันธุ์นั้นมีเพียง 3 สีเท่านั้น คือ แดง, ขาว และน้ำเงิน มีบันทึกว่าปลาคาร์ปบางตัวได้พัฒนาตัวเองมาเป็นสีส้ม ดังนั้นชาวจีนจึงนิยมนำมาเลี้ยงเพื่อเป็นความเป็นสิริมงคล
จากนั้นจึงได้เดินทางเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่น บริเวณหมู่บ้านเชิงเขาที่ชื่อ ตาเกซาว่า, ฮิกาชิยามาโอตะ, ตาเนอุฮาร่า และกามากาชิมา โดยชาวบ้านที่หมู่บ้านเหล่านี้ได้นำปลาคาร์ปมาเลี้ยงเพื่อเป็นอาหารในยามฤดูหนาวหรือช่วงที่อาหารขาดแคลน จากนั้นในศตวรรษที่ 18 ที่เมืองเอจิโกะ ในจังหวัดนีงะตะ ได้บังเอิญเกิดมีปลาคาร์ปตัวหนึ่งซึ่งเป็นสีขาวและสีแดงตลอดทั้งตัวเกิดขึ้นมา สันนิษฐานว่าเป็นการผ่าเหล่า เกิดจากการผสมพันธุ์กันเองภายในสายเลือดใกล้ชิดกัน ซึ่งนำไปสู่การเพาะพันธุ์จนมาได้ ปลาที่มีลักษณะสีขาวสลับแดงในสายพันธุ์ที่มีชื่อว่า "โคฮากุ" (紅白) ขึ้นมาจนถึงในปัจจุบัน
พันธุ์ปลาคาร์ฟ
จากนั้นความนิยมในการเลี้ยงปลาคาร์ปในประเทญี่ปุ่นก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1870 มีศูนย์กลางการเพาะเลี้ยงปลาขึ้นบริเวณเชิงเขาเมืองโอจิยะ จังหวัดนิอิกาตะ และฮิโรชิม่า มีการทำฟาร์ม ประกวด และพัฒนาสายพันธุ์จนกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมญี่ปุ่น ในเทศกาลเด็กผู้ชาย ซึ่งตรงกับวันที่ 5 พฤษภาคม ของทุกปี ซึ่งครอบครัวชาวญี่ปุ่นที่มีบุตรชายจะนำธงทิวที่มีสีสันหลากหลายรูปปลาคาร์ป ขึ้นแขวนไว้หน้าบ้าน เพื่อเป็นการแสดงสัญลักษณ์ให้เด็กเติบโตมาอย่างสมบูรณ์แข็งแรง ประดุจปลาคาร์ปที่ว่ายทวนกระแสน้ำเชี่ยวในปี ค.ศ. 1914 ได้มีผู้นำปลาคาร์ปขึ้นทูลเกล้าฯ มงกุฎราชกุมารโชวะ ซึ่งนับเป็นจุดที่ทำให้ความนิยมในการเลี้ยงปลาคาร์ปเผยแพร่กว้างไกลยิ่งขึ้น ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดภาวะขาดแคลนอาหารภายในประเทศญี่ปุ่น ปลาคาร์ปจึงถูกใช้ทำเป็นอาหารอีกครั้ง เมื่อสงครามยุติลง ยังมีผู้ที่เลี้ยงปลาที่ได้รักษาสายพันธุ์ไว้ พยายามฟื้นฟูและสงวนสายพันธุ์ขึ้นมา ปลาคาร์ปจึงได้กลับมาอีกครั้งในฐานะปลาสวยงามในวัฒนธรรมญี่ปุ่น จนมาถึงอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
แหล่งผลิตปลาคาร์ปสวยงามของญี่ปุ่นในปัจจุบัน ได้แก่ โอจิยะ, ฮามามัตสึ, ยามาโคชิ, นากาโอะ, โตชิโอะ และคิตะอุโอนุมา ซึ่งประชากรในเมืองเหล่านี้ส่วนมากจะประกอบเพาะพันธุ์ปลาคาร์ปจำหน่าย โดยอาศัยแหล่งน้ำธรรมชาติ ตลอดจนภูมิอากาศและภูมิประเทศที่เอื้ออำนวยที่อยู่บนเขาซึ่งเหมาะแก่การเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์เป็นอย่างยิ่ง การเลี้ยงปลาคาร์ปในประเทศญี่ปุ่นจึงเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว ทุกปีจะมีการประกวดทั่วทั้งประเทศ ที่กรุงโตเกียว อันเป็นเมืองหลวง นอกจากนี้แล้วยังมีการประกวดในระดับภูมิภาคแยกย่อยอีก รวมถึงในระดับนานาชาติอีกด้วย
ในปี ค.ศ. 1966 สมาคมผู้เลี้ยงปลาคาร์ปแห่งญี่ปุ่น ได้ร่วมกันสร้างอนุสาวรีย์ปลาคาร์ปขึ้น โดยสลักคำว่า "แหล่งกำเนิดนิชิกอย" (錦鯉起源の新) ขึ้นไว้เป็นอนุสรณ์ขึ้นที่หน้าโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง ในเมืองนิกาตะ เพื่อเป็นการระลึกถึงเมืองที่เป็นจุดกำเนิดปลาแฟนซีคาร์ป
ในประเทศไทย
สำหรับประวัติการเลี้ยงปลาแฟนซีคาร์ปในประเทศไทย ในรูปแบบปลาสวยงามนั้น เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2493 โดยการนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งในเวลานั้นถือเป็นปลาสวยงามที่มีราคาสูงมาก ในปี พ.ศ. 2498 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล ทรงนำเข้าปลาชนิดนี้มาจากประเทศญี่ปุ่น เพื่อเลี้ยงเป็นปลาพ่อแม่พันธุ์ และให้ชื่อเป็นภาษาไทยว่า "ปลาอัมรินทร์" ในขณะที่กรมประมงได้เรียกว่า "ปลาไนญี่ปุ่น" หรือ "ปลาไนสี" หรือ "ปลาไนแฟนซี" จากนั้นก็ได้มีผู้นำเข้ามาเลี้ยงกันมาอีกอย่างแพร่หลาย จนถึงในปัจจุบัน
นอกจากนี้แล้ว การเลี้ยงปลาแฟนซีคาร์ปยังเชื่อกันว่าจะช่วยเสริมโชคลาภให้แก่ผู้เลี้ยงเช่นเดียวกับปลาทองหรือปลาอะโรวาน่าอีกด้วย[
การเลี้ยงปลาคาร์ฟ
ปัจจัยการเลี้ยงปลาแฟนซีคาร์ฟ มีหลายอย่างค่ะ เช่น น้ำ อากาศ แสงแดด อาหาร อุณหภูมิ และนอกจากนั้น ปัจจัยที่สำคัญที่สุดก็คือ ความเอาใจใส่ ซึ่งเมื่อคุณมีความเอาใจใส่ดูแลแล้วละก็ ปัจจัยอื่น ๆ เราก็ต้องสนใจเป็นธรรมดาอ่ะนะคะ
น้ำ
เป็นสิ่งที่สำคัญมากกับปลาทุกชนิด เราต้องเข้าใจถึงธรรมชาติของน้ำที่จะมาใช้เลี้ยงปลาแต่ละชนิดค่ะ เพราะน้ำเปรียบเสมือนบ้านของปลานั่นเอง น้ำที่จะนำมาใช้เลี้ยงปลาคาร์ฟนั้น มาจากแหล่งน้ำได้หลายแห่งเช่น น้ำประปา น้ำบาดาล น้ำคลอง น้ำบ่อ น้ำตก เป็นต้น แต่ที่สะดวกที่สุดคือ น้ำประปาที่ผ่านการฆ่าคลอรีนแล้ว และมีค่า pH เป็นกลางที่ pH 7 วิธีง่ายๆในการฆ่าคลอรีนก็คือ ให้น้ำประปาผ่านเครื่องกรองน้ำที่มีถ่านคาร์บอนเป็นตัวกรอง โดยปล่อยให้น้ำไหลผ่านกรองช้า ๆ และควรทดสอบคลอรีนทุกครั้งก่อนนำน้ำมาเลี้ยงปลา หรือเปลี่ยนถ่ายน้ำบ่อปลา ในกรณีที่ไม่ต้องการใช้น้ำประปา ก็ใช้น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติได้ แต่แหล่งน้ำจากธรรมชาติจะมีความเป็นกรดเป็นด่างซึ่งจะมีผลต่อสีปลา โดยทำให้ปลาสีซีด และน้ำจากธรรมชาติบางแหล่ง อาจมีการปนเปื้อนของยาฆ่าแมลงซึ่งเป็นอันตรายต่อปลาคาร์ฟมาก อีกทั้งแหล่งน้ำธรรมชาติอาจเป็นพาหะของโรคมาอีกด้วย ฉะนั้นน้ำประปาจึงเป็นน้ำที่เหมาะสมที่สุดที่จะนำมาใช้ในการเลี้ยงปลาคาร์ฟอ่ะนะคะ ในการเปลี่ยนถ่ายน้ำแต่ละครั้ง ไม่ควรเปลี่ยนทีเดียวจนหมดทั้งบ่อ ควรจะเปลี่ยนน้ำโดยให้เหลือน้ำเก่าไว้ประมาณ 2 ใน 3 ของปริมาณน้ำเดิม และเติมน้ำใหม่ลงไป 1 ใน 3 เพราะจะทำให้ปลาปรับตัวได้ และไม่เกิดอาการช็อกน้ำ ค่ะ
อากาศ หรือออกซิเจน
สองสิ่งนี้จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของปลาคาร์ฟมากค่ะ สังเกตได้จากการที่ปลาคาร์ฟว่ายน้ำ ถ้าว่ายน้ำอยู่ในน้ำแล้วจะลอยหัวขึ้นมาเฉพาะตอนกินอาหาร ก็ถือว่าออกซิเจนไม่ขาด แต่ถ้าปลาคาร์ฟลอยหัวอยู่ตลอดแสดงว่าอากาศหรือออกซิเจนเริ่มขาด ต้องรีบทำการเติมอากาศทันที ทางที่ดีควรจะทำการเติมอากาศไว้อยู่ตลอดเวลา โดยการที่ให้น้ำดีจากบ่อกรองที่จะมาในบ่อเลี้ยง ได้สัมผัสอากาศเสียก่อนที่จะ ปล่อยลงบ่อ โดยยิงน้ำลงบ่อเลี้ยงเพื่อให้เกิดฟองอากาศ หรือใช้ปั๊มอากาศปั๊มลงโดยตรงเลยก็ได้แต่ถ้าบ่อใหญ่มากๆ ควรใช้หัวเจ็ทพ่นน้ำเพราะหัวเจ็ทจะดูดออกซิเจนในอากาศลงไปผสมกับน้ำได้เป็นอย่างดี บ่อที่สร้างแบบมีน้ำตกด้วยจะช่วยให้มีออกซิเจนมาเพิ่มในน้ำดีขึ้น เนื่องจากน้ำที่ไหลลงมาตามแนวน้ำตกจะได้สัมผัสอากาศก่อนลงบ่อนั่นเองอ่ะนะคะ
ปลาคาร์ฟมีนิสัยที่น่ารักอยู่อย่างหนึ่งค่ะ คือ เมื่อเชื่องแล้วปลาคาร์ฟจะว่ายมามองหน้าแล้วทำปากอ้าเหมือนจะรู้ว่าเราต้องใจอ่อนให้อาหารอย่างแน่นอน แต่อย่าใจอ่อนทุกครั้งไปนะคะ เพราะจะทำให้รูปทรงปลาเสียได้ และถ้าเราให้มากจนเหลือก็จะทำให้น้ำเสียเร็ว ฉะนั้นการให้อาหารจึงควรให้พอดีดังนี้
ให้อาหารตามน้ำหนักของปลา คือ 2-4 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัวปลาต่อวัน โดยให้วันละ 2 ครั้งในตอนเช้าและบ่าย ควรจะให้ปลาคาร์พกินอาหารหมดภายใน 20 นาที ถ้าเหลือควรตักทิ้งเพราะจะทำให้น้ำไม่เสียเร็ว ไม่ควรให้อาหารปลาในเวลาเย็นมากเกินไป เพราะในตอนเย็นออกซิเจนในน้ำมีปริมาณลดลงมากอาจเป็นอันตรายกับปลาได้ อุณหภูมิของน้ำก็มีส่วนในการลดหรือเพิ่มปริมาณอาหาร ในฤดูร้อนปลาคาร์พมักจะกินอาหารได้มาก แต่ถ้าวันใดที่อากาศร้อนมากๆก็ควรงดอาหาร ส่วนในฤดูหนาวปลาคาร์พก็จะกินอาหารน้อยและวันใดที่อากาศเย็นมากๆ ต่ำกว่า 7 องศาเซลเซียส ให้งดอาหาร
ปลาคาร์ฟ เป็นปลาที่กินอาหารได้หลายชนิดทั้งอาหารสดและพืช เช่น ข้าวโพดบด ข้าวสาลี กะหล่ำปลี สาหร่าย แหน ข้าวเหนียวนึ่ง ขนมปัง ลูกน้ำ ลูกไร กุ้งสด หอย ปลาหมึก เป็นต้น แต่ที่นิยมใช้เลี้ยงมากที่สุดคืออาหารเม็ดลอยน้ำ เพราะสะดวกและหาง่ายอาหารเม็ดลอยน้ำบางชนิดก็มีส่วนผสมของพืชและเนื้อสัตว์เช่น กุ้งแห้ง เป็นต้น อาหารบางชนิดยังอาจผสมสปิรูลิน่าหรือสาหร่ายเกลียวทองที่เรียกว่าอาหาร 10 เปอร์เซ็นต์ (อาหารที่มีส่วนผสมของสาหร่ายสปิรูลิน่าอยู่ในอาหารในปริมาณ 10 เปอร์เซ็นต์) มีผลต่อสีของปลาด้วยเพราะสปิรูลิน่าจะเป็นตัวช่วยให้สีของปลาคาร์พเข้มดูสวยงาม
แสงแดด-อุณหภูมิ
ที่ที่ดีสำหรับ บ่อปลาคาร์ฟ คือ ที่ที่มีแสงแดดส่องถึง ไม่ควรต่ำกว่า วันละ 3 - 4 ชม. แต่ก็ไม่ควรให้แดดลงบ่อเต็มๆ ทั้งวัน ควรหาร่มเงาให้ปลาได้หลบพักบ้าง อากาศก็ควรจะถ่ายเทได้ดี ไม่ควรอยู่ใกล้ครัวเพราะควันจากการทำอาหารอาจลงไปในบ่อทำให้น้ำมีคราบมัน บ่อที่ดีควรขุดลงไปในดินจะดีกว่าทำบ่อลอย เพราะอุณหภูมิของน้ำในบ่อฝังดินจะเปลี่ยนแปลงช้าและต่ำกว่าบ่อลอย ปลาคาร์พมักชอบน้ำอุณหภูมิต่ำ (20-25 องศาเซลเซียส)
จะเห็นได้ว่า การเลี้ยงปลาคาร์ฟ ซึ่งเป็นปลาสวยงามนั้น ต้องมีการดูแลเอาใจใส่ในหลายขั้นตอนเลยนะคะ แต่การมีสัตว์เลี้ยงภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ประเภทใดก็ตาม หากเราให้ความรัก เอาใจใส่ เค้าก็จะเหมือนกับเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเราค่ะ นอกจากจะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย มีความสุขแล้ว ยังทำให้จิตใจของผู้เลี้ยงมีความอ่อนโยนอีกด้วย
ปลาคาร์ฟ
เว็ปไซค์พันธุ์ปลาแฟนซีคาร์ฟ




ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น